หลังจากที่คราวที่แล้วได้พูดถึงหลักการเกี่ยวกับCEMกันมาพอสมควรแล้ว คราวนี้เรามาดูแบบเจาะลึกกันลงไปจากการยกตัวอย่างกรณ๊ศึกษาประกอบกันบ้าง ซํก 2 ตัวอย่าง
สำหรับตัวแรกเป็นกรณ๊ศึกษาที่นิยมใช้กันมากในอินเตอร์เนท ต้องขอขอบคุณ หนังสือBrandage ที่มีบทความดีๆ ให้เสพเสมอ เรื่องแรกนี้ก็เกี่ยวกับโรงแรมแห่งหนึ่ง ย่านลาดพร้าว ได้ส่งพนักงานขายโทรศัพท์ชักชวนให้คนสมัครสมาชิกของ โรงแรม โดบการอ้างข้อเสนอ อาทิ การพักโรงแรมในเครือ ทั้งจากต่างจังหวัด และในกรุงเทพฯ ฟรี 1 คืน และ ให้สิทธิ ลด50% อีก 2 ครั้ง โดยมีค่าสมัครอยู่ที่ 4,500 บาท แต่เมื่อสมัคร และได้รับเอกสารแล้ว กลับต้องเจอกับเงื่อนไข ต่างๆนานา เช่น การเข้าพักฟรีต้องเข้าพักเฉพาะ ในวันอาทิตย์ - วันพฤหัส ,กสรจองห้องพักต้องจองอย่างน้อย 1 เดือน ลูกค้าบางราย จองตั้งแต่พฤษภาปีที่ผ่านมา ถึง เมษา ปีที่แล้ว ก็ยังไม่สามารถเข้าพักได้ เนื่องจากโรงแรมเต็ม เหตุการณ์เหล่านี้เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้แก่ลูกค้าเป็นอย่างมาก เรื่องแบบนี้มักจะถูกบอกกล่าวต่อๆ กันไป ทำให้โรงแรมดังกล่าวเสื่อมเสียชื่อเสียงเป็นอย่างมาก นับได้ว่าเป็นการทำCEMที่ผิดพลาด เพราะเป็นการสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้แก่ลูกค้า สร้างความเสื่อมเสียให้แก่บริษัท วิธีการที่ถูกต้อง คือ ควรจะบอกเงื่อนไขให้ครบถ้วน เช่น ต้องบอกว่าที่พักที่จะเข้าพักฟรีได้ มีจำนวนจำกัด ฯลฯ แต่ด้วยว่ากลัวลูกค้าจะไม่สมัคร จึงไม่ยอมบอกความจริงออกไป
อีกกรณีศึกษาหนึ่ง คือรถยี่ห้อSAAB รถยี่ห้อนี้มีต้นกำเนิดมาจากบริษัทผลิตเครื่องบิน SAAB positoiningตัวเองให้เป็น อากาศยานประยุกต์มาวิ่งบนดิน คุณภาพ และเทคโนโลยีไม่เป็นรอง Mercedes และ BMW แต่ทางด้านราคานั้น ต่ำกว่า Mercedes แต่ใกล้เคียง BMW SAABพยายามที่จะทำตลาดแบบแคบ ถึงแคบมาก(Niche Market)
Saab ใช้การตลาดหลายขั้นตอน ลักษณะคล้ายการร่อนแร่ คือเอาเศษกรวดหินออกไป เหลือไว้เฉพาะสินแร่ “ ลูกค้าหวังผล ” เท่านั้น Saab จึงทำการศึกษาว่าใครคือกลุ่มลูกค้าเกรด A และพบว่าได้แก่ผู้ที่นั่งเล่นอินเตอร์เน็ตหน้าจอทั้งหลาย เมื่อพบกลุ่มคนพวกนี้ แล้วจะหาทางชักชวนให้มาถึงโชว์รูมอย่างไร
ผลการวิจัยอีกเช่นกันทำให้ทราบว่ากลุ่มลูกค้าหวังผลนี้ เป็นประเภทชอบอะไรที่เสี่ยงๆ ชอบอะไรที่โลดโผน รักและศึกษาศิลปะการดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ แผนการตลาดขั้นต่อไปคือหาวิธีให้ลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาซื้อรถของตนโดยสร้างเว็บของตัวเองให้เกิดชุมชน เข้ามาร่วมชิงโชคชิงรางวัลต่างๆ ฟรี ! ด้วยแพ็คเกจทัวร์ พาชมโรงงานผลิตไวน์ ผู้ได้รับรางวัลจะได้ขับรถ Saab Convertible ได้ท่องไปกับบอลลูนให้เสียวนิดๆ ต่อด้วยการผจญภัยล่องเรือคายัค ท่านจะเห็นว่ากลยุทธการตลาดนำมาจากข้อมูลการทำวิจัยทั้งสิ้น แต่ว่ากันในรายละเอียดปลีกย่อยถึงลูกเล่นหน้าตาในเว็บ เพื่อให้เจาะกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 25-54 ขวบ มีการศึกษาดี รายได้ดีสนใจเข้าร่วมกิจกรรม จากการอีกเช่นกันพบว่า ลูกค้าคาดหวังกลุ่มนี้ใช้เวลาเข้าไปศึกษา สั่งซื้อไวน์ หาข้อมูลท่องเที่ยว รับประทานอาหารเย็นทางเว็บ www.concierge.com และ www.epicurious.com เป็นประจำ Saab จึงวานให้เอเจนซี่ออกแบบแบนเนอร์ของตนให้มีหน้าตาและ “ ฟีล ” คล้ายคลึงเว็บหลักเหล่านี้ เวลาคลิกเข้าไปจะได้มีอารมณ์ร่วมที่ต่อเนื่อง จากนั้นก็ไปซื้อเนื้อที่ เพื่อ “ แปะ ” แบนเนอร์ของตนใน 2 เว็บหลักดังกล่าว พอคลิกก็จะเห็นรูปรถ Saab 9-5 Convertible วิ่งวูบวาบล่องไปตามชายฝั่งทะเลตะวันตกตามเส้นทางโรงงานผลิตไวน์ ตบท้ายด้วย VDO Clip ที่พาให้เห็นถึงการล่องบอลลูนในอากาศ จากนั้นก็ทำการ “ เกี่ยว ” ให้ติด โดยยื่นข้อแม้ว่า การจะมีสิทธิ์เข้าชิงโชคฟรีครั้งนี้พวกท่านต้องไปขอทดลองขับรถ Saab ที่ดีลเลอร์ของเราเสียก่อน ตรงนี้เป็นข้อมูลจากการศึกษาวิจัยเช่นกัน เพราะพบว่า “ ผู้คนที่ได้ทดลองขับรถ Saab ล่ะก้อ มักจะซื้อรถ Saab” เป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะต่อสู้กับ Mercedes และ BMW ที่มีชื่อเสียงติดปากกว่าได้
ถึงตรงนี้ผู้บริหารเขาถาม “ ดัก ” ก่อนเลยว่าถ้าผมเห็นด้วยกับไอเดียนี้บริษัทจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI เท่าไหร่ เพราะเขาถือว่าการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือส่งเสริมการขายใดๆ คือการลงทุน ดังนั้นจึงต้องวัดผลได้ ในงานนี้เขาเอาจำนวนของผู้คนที่เสนอตัวเข้ามาลองขับรถ Saab ที่โชว์รูม ( ที่เช็คแล้วรู้ว่าทราบข้อมูลจากแบนเนอร์อันนี้ ) ผลออกมาทำได้เกินคาดคือมากกว่า 400% จากเป้าที่ตั้งไว้
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ หรือจะวางแผนอย่างไรกันไว้ผมก็ไม่ทราบ แต่ที่คนที่ได้รับการสุ่มจับรางวัลขึ้นมากับแพ็คเกจทัวร์นี้ เป็นผู้หญิงจากซินซินนาติ ( ใน Ohio ) ซึ่งพอรายการนี้ผ่านไป เธอตัดสินใจซื้อรถ Saab
จากการประเมินผลของบริษัทเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของสื่อโฆษณาเรื่องแพ็คเกจทัวร์นี้ ในแบบต่างๆ ไล่จากไดเร็คท์เมล์ , ในโชว์รูม , ทางทีวี พบว่าการใช้สื่ออินเตอร์เน็ทให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง ก่อให้เกิดจำนวนการขายมากกว่าที่คาดคิด มีต้นทุนต่อการเข้ามาทดลองขับต่ำสุด พอลูกค้าขับรถจริงก็จะประทับใจ ( ตรงกับข้อมูลศึกษาวิจัย ) และเกิดการซื้อในเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุด ซึ่งทาง Saab ก็ติดใจกับกลุยทธ์หากินแบบนี้ และจะคงยึดมั่นในสื่ออินเตอร์เน็ทต่อไป แต่ครั้งหน้าจะมีการปรับส่วนผสมบางอย่างให้ “ เกาะ ” กลุ่มลูกค้าพวกนี้ได้แคบกว่านี้ เพราะขณะที่สามารถ “ ล่อ ” ให้ลูกค้าคาดหวังเข้ามาทดลองขับก็มีการศึกษาพฤติกรรมคนจำพวกนี้ พบว่านอกจากจะชอบกินและศึกษาเรื่องไวน์ ชอบอะไรที่เสี่ยงผจญภัยแล้ว ยังชอบฟังเพลงแจ๊ส รับข้อมูลข่าวสารข้อมูลที่หนักเชิงวิชาการและธุรกิจ ดังนั้นแผนการ CEM อันใหม่ จึงจะนำแบนเนอร์ไปแปะไว้แถวๆ คอลัมน์ / เว็บเพลงแจ๊ส และในเว็บไซต์หน้าบทความของ The New York Times และ The Washington Post ส่วนแพ็คเกจทัวร์ครั้งหน้านี้จะพาไปชมดนตรีแจ๊ส ชิมไวน์ ท่องเที่ยวหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ในงานมอนโทรว์ แจ๊ส เฟลติวัล ในสวิสเซอร์แลนด์โน่น นี่คือความคิดทางการตลาดที่ถือว่าเฉียบแหลมในการประยุกต์ CEM เข้ากับ Lifestyle Marketing
ผลการวิจัยอีกเช่นกันทำให้ทราบว่ากลุ่มลูกค้าหวังผลนี้ เป็นประเภทชอบอะไรที่เสี่ยงๆ ชอบอะไรที่โลดโผน รักและศึกษาศิลปะการดื่มไวน์เป็นชีวิตจิตใจ แผนการตลาดขั้นต่อไปคือหาวิธีให้ลูกค้ากลุ่มนี้เข้ามาซื้อรถของตนโดยสร้างเว็บของตัวเองให้เกิดชุมชน เข้ามาร่วมชิงโชคชิงรางวัลต่างๆ ฟรี ! ด้วยแพ็คเกจทัวร์ พาชมโรงงานผลิตไวน์ ผู้ได้รับรางวัลจะได้ขับรถ Saab Convertible ได้ท่องไปกับบอลลูนให้เสียวนิดๆ ต่อด้วยการผจญภัยล่องเรือคายัค ท่านจะเห็นว่ากลยุทธการตลาดนำมาจากข้อมูลการทำวิจัยทั้งสิ้น แต่ว่ากันในรายละเอียดปลีกย่อยถึงลูกเล่นหน้าตาในเว็บ เพื่อให้เจาะกลุ่มคนที่มีช่วงอายุ 25-54 ขวบ มีการศึกษาดี รายได้ดีสนใจเข้าร่วมกิจกรรม จากการอีกเช่นกันพบว่า ลูกค้าคาดหวังกลุ่มนี้ใช้เวลาเข้าไปศึกษา สั่งซื้อไวน์ หาข้อมูลท่องเที่ยว รับประทานอาหารเย็นทางเว็บ www.concierge.com และ www.epicurious.com เป็นประจำ Saab จึงวานให้เอเจนซี่ออกแบบแบนเนอร์ของตนให้มีหน้าตาและ “ ฟีล ” คล้ายคลึงเว็บหลักเหล่านี้ เวลาคลิกเข้าไปจะได้มีอารมณ์ร่วมที่ต่อเนื่อง จากนั้นก็ไปซื้อเนื้อที่ เพื่อ “ แปะ ” แบนเนอร์ของตนใน 2 เว็บหลักดังกล่าว พอคลิกก็จะเห็นรูปรถ Saab 9-5 Convertible วิ่งวูบวาบล่องไปตามชายฝั่งทะเลตะวันตกตามเส้นทางโรงงานผลิตไวน์ ตบท้ายด้วย VDO Clip ที่พาให้เห็นถึงการล่องบอลลูนในอากาศ จากนั้นก็ทำการ “ เกี่ยว ” ให้ติด โดยยื่นข้อแม้ว่า การจะมีสิทธิ์เข้าชิงโชคฟรีครั้งนี้พวกท่านต้องไปขอทดลองขับรถ Saab ที่ดีลเลอร์ของเราเสียก่อน ตรงนี้เป็นข้อมูลจากการศึกษาวิจัยเช่นกัน เพราะพบว่า “ ผู้คนที่ได้ทดลองขับรถ Saab ล่ะก้อ มักจะซื้อรถ Saab” เป็นวิธีการอันหนึ่งที่จะต่อสู้กับ Mercedes และ BMW ที่มีชื่อเสียงติดปากกว่าได้
ถึงตรงนี้ผู้บริหารเขาถาม “ ดัก ” ก่อนเลยว่าถ้าผมเห็นด้วยกับไอเดียนี้บริษัทจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ ROI เท่าไหร่ เพราะเขาถือว่าการทำโฆษณาประชาสัมพันธ์หรือส่งเสริมการขายใดๆ คือการลงทุน ดังนั้นจึงต้องวัดผลได้ ในงานนี้เขาเอาจำนวนของผู้คนที่เสนอตัวเข้ามาลองขับรถ Saab ที่โชว์รูม ( ที่เช็คแล้วรู้ว่าทราบข้อมูลจากแบนเนอร์อันนี้ ) ผลออกมาทำได้เกินคาดคือมากกว่า 400% จากเป้าที่ตั้งไว้
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ หรือจะวางแผนอย่างไรกันไว้ผมก็ไม่ทราบ แต่ที่คนที่ได้รับการสุ่มจับรางวัลขึ้นมากับแพ็คเกจทัวร์นี้ เป็นผู้หญิงจากซินซินนาติ ( ใน Ohio ) ซึ่งพอรายการนี้ผ่านไป เธอตัดสินใจซื้อรถ Saab
จากการประเมินผลของบริษัทเพื่อเปรียบเทียบประสิทธิผลของสื่อโฆษณาเรื่องแพ็คเกจทัวร์นี้ ในแบบต่างๆ ไล่จากไดเร็คท์เมล์ , ในโชว์รูม , ทางทีวี พบว่าการใช้สื่ออินเตอร์เน็ทให้ผลตอบแทนการลงทุนสูง ก่อให้เกิดจำนวนการขายมากกว่าที่คาดคิด มีต้นทุนต่อการเข้ามาทดลองขับต่ำสุด พอลูกค้าขับรถจริงก็จะประทับใจ ( ตรงกับข้อมูลศึกษาวิจัย ) และเกิดการซื้อในเปอร์เซ็นต์ที่สูงที่สุด ซึ่งทาง Saab ก็ติดใจกับกลุยทธ์หากินแบบนี้ และจะคงยึดมั่นในสื่ออินเตอร์เน็ทต่อไป แต่ครั้งหน้าจะมีการปรับส่วนผสมบางอย่างให้ “ เกาะ ” กลุ่มลูกค้าพวกนี้ได้แคบกว่านี้ เพราะขณะที่สามารถ “ ล่อ ” ให้ลูกค้าคาดหวังเข้ามาทดลองขับก็มีการศึกษาพฤติกรรมคนจำพวกนี้ พบว่านอกจากจะชอบกินและศึกษาเรื่องไวน์ ชอบอะไรที่เสี่ยงผจญภัยแล้ว ยังชอบฟังเพลงแจ๊ส รับข้อมูลข่าวสารข้อมูลที่หนักเชิงวิชาการและธุรกิจ ดังนั้นแผนการ CEM อันใหม่ จึงจะนำแบนเนอร์ไปแปะไว้แถวๆ คอลัมน์ / เว็บเพลงแจ๊ส และในเว็บไซต์หน้าบทความของ The New York Times และ The Washington Post ส่วนแพ็คเกจทัวร์ครั้งหน้านี้จะพาไปชมดนตรีแจ๊ส ชิมไวน์ ท่องเที่ยวหนึ่งสัปดาห์เต็มๆ ในงานมอนโทรว์ แจ๊ส เฟลติวัล ในสวิสเซอร์แลนด์โน่น นี่คือความคิดทางการตลาดที่ถือว่าเฉียบแหลมในการประยุกต์ CEM เข้ากับ Lifestyle Marketing
ก็น่าจะทำให้เข้าใจเกี่ยวกับ CEM, Customer Experience Management กันมากขึ้นนะครับ
ขอขอบคุณ นิตยสารBrandAge ฉบับ Subdivision 6 2007 (Triple C)



